วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2551

ว่ากันเรื่อง ..เทศกาลกินผักกันหน่อยนะครับ



เอาเรื่อง...เทศกาลกินผักของภูเก็ต..หน่อยเป็นไง
..ผู้ประกอบด้านการท่องเที่ยวในภูเก็ตเกิดอาการร้อนๆหนาวๆกันเป็นแถวจากพิษไข้กู้ชาติของกลุ่มพันธมิตรภูเก็ต ..แต่ไม่ต้องห่วงครับหลังจากการยกเลิกพ.ร.ก.ภาวะฉุกเฉินแล้ว ทุกอย่างก็ดีขึ้นเป็นลำดับ..ตอนนี้เริ่มจะเห็นนักท่องเที่ยวประปรายแล้วในอีกไม่ช้าทุกอย่างก็จะเป้นปรกติ
...ขอเชิญนักท่องเที่ยวชาวไทยทุกท่านเข้ามาร่วมในงานเทศกาลกินผักที่ภูเก้ตได้เลยครับจะเริ่มวันที่ 29 กันยายน นี้แหละ ขั้นตอนแบบง่ายๆก็ปฏิบัติดังนี้ครับ
1 เริ่มกันตั้งแต่เย็นวันที่ 28 นี้แหละ(เรียกว่าล้างท้อง..ตามที่ปฏิบัติกัน)จะกินที่บ้านหรือที่ศาลเจ้าก็ได้
2 ทางศาลเจ้าจะทำพิธียกเสาโกเต๊ง(เสาประธานในพิธีกินผัก)เย็นวันที่ 28 นี้แหละ..ไปร่วมกันหน่อยก็ดีนะครับเพราะถือเป็นขี้นตอนที่สำคัญมาก




เสาโกเต้ง เสาประธานในพิธี(บนซ้าย) ตะเกียง9ดวงสัญลักษณ์กิ๊วอ๋อง (บนขวา)

3 วันพร่งนี้(29 กันยายน)ก็เริ่มเข้าไปไหว้พระกันที่ศาลเจ้ากันได้แล้ว เพื่อความสะดวกเรื่องอาหารการกิน ก็ผูกปิ่นโตกับศาลเจ้าที่ท่านสะดวก โดยช่วยทำบุญ(ด้วยเงินหรือข้าวสารอาหารแห้ง) ตามกำลังศรัทธา ไม่กำหนด
4 สำหรับคหบดี ชาวภูเก็ตท้องถิ่น(ปุ๊นเต่)ส่วนใหญ่ก็จะบริจาคกันทำบุญกันเป็นกอบเป็นกำก็ในช่วงเวลานี้แหละ
5 ทุกคนเข้าร่วมได้เลยครับ ไม่ว่าลูกไทยลูกแขกหรือลูกเจ๊ก..ไม่มีรังเกียจกัน(ไม่ใช่วิถีพุทธ)
6 สำหรับท่านที่ไม่สะดวกที่จะรับอาหารที่ศาลเจ้า ก็มีร้านอาหารเจของเอกชนไว้บริการ ทั่วไปบริเวณโดยรอบศาลเจ้า
7 ศาลเจ้าขนาดใหญ่ที่มีชื่อเสียง ที่ขึ้นชื่อ ก็มีดังต่อไปนี้
7.1 ศาลเจ้าจุ๊ยต่ย เป็นศาลเจ้าที่ใหญ่ที่สุด มีผู้เข้าร่วมพิธีมากทุกปี มีบริการผูกปิ่นโตและบริการอาหารฟรีสำหรับทุกคนที่ศษลเจ้า
7.2 ศาลเจ้าบางเหนียว
7.3 ศาลเจ้าสามกอง
7.4 ศาลเจ้า เจ่งอ๋อง บริเวณ โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต
7.5 ศาลเจ้าท่าเรือ
7.6 ศาลเจ้ากะทู้
เหล่านี้คือศาลเจ้าหลักๆนะครับ..ทุกศาลเจ้าจะมีตารางกำหนดพิธีกรรมที่ไม่ตรงกัน ยกเว้นพิธียกเสาโกเต๊งเท่านั้น....


ก่อนอื่น..มาว่าตามเขาว่ากันหน่อย
....ในพิธีกินผักนั้น ช่วงบ่ายก่อนวันพิธีหนึ่งวัน จะมีพิธียกเสาโกเต้ง ไว้หน้าศาลเจ้า เพื่อประกอบพิธีอัญเชิญเจ้า “ ยกอ๋องซ่งเต่ ” (พระอิศวร) และ “ กิ๋วอ๋องไต่เต่ ” (ผู้เป็นใหญ่ทั้งเก้า) มาเป็นประธานในพิธี และจะนำตะเกียง 9 ดวง ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ ของการเริ่มพิธี ไว้บนเสาโกเต้งเวลาเที่ยงคืน นอกจากนี้ตลอด 9 วันของพิธีกินผัก จะมีพิธีกรรมต่างๆ เช่น พิธีอัญเชิญลำเต้า - ปักเต้า (เทวดาผู้กำหนดเวลา เกิด และ ตาย) พิธีอิ้วเก้ง (พิธีแห่พระ) พิธีอาบน้ำมัน ขึ้นบันไดมีด พิธีโก้ยโห้ย (ลุยไฟ) พิธีโก้ยห่าน (สะเดาะเคราะห์) พิธีโข๊กุ๊น(พิธีเลี้ยงขุนทหาร)ตลอดจนการทรงพระ(หรือเรียกว่าลงพระ) ซึ่งเป็นการอัญเชิญเจ้า มาประทับในร่าง ของม้าทรง และแสดงอิทธิฤทธิ์ ด้วยการทรมานร่างกาย ในรูปแบบต่างๆ ทั้งนี้ก็เพื่อรับทุกข์ แทนผู้ถือศีลกินผัก และเพื่อความเป็นสิริมงคล...นี่เป็นความเชื่อครับ ..ก็ขอให้ทุกท่าน..พิจารณาตามความเหมาะสมก็แล้วกัน
...มาภูเก็ตสิครับ..แล้วจะเห็นอะไรต่ออะไรอีกเยอะ..ถ้าสามารถกินอาหารที่ศาลเจ้าจัดให้ได้ ก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายไปเยอะ ..แต่ที่พักนี่ต้องจองแต่เนิ่นๆนะครับ..ผมขอเรียนเชิญทุกท่านด้วยความยินดีครับ

ข้อควรปฏิบัติ 10 ประการ สำหรับผู้ถือศีลกินผัก(ฟังหน่อยครับ)
1ชำระร่างกายให้สะอาดตลอดช่วงเทศกาล
2ทำความสะอาดเครื่องครัวและแยกใช้คนละส่วนกับผู้ที่ไม่ได้ถือศีลกินผัก
3ควรสวมชุดขาวตลอดช่วงเทศกาลกินผัก (ไม่จำเป็นเท่าไหร่..ความเห็นของผมเอง)
4ประพฤติตนดีทั้งกายและใจ
5ห้ามบริโภคเนื้อสัตว์ (สำคัญมาก)
6ห้ามมีเพศสัมพันธ์ในช่วงเทศกาล
7ห้ามดื่มสุราและของมึนเมา
8ผู้ที่อยู่ระหว่างไว้ทุกข์ไม่ควรร่วมเทศกาลกินผัก
9หญิงมีครรภ์ไม่ควรดูพิธีกรรมใดๆ ในช่วงเทศกาล
10หญิงมีประจำเดือนไม่ควรร่วมพิธีกรรมใดๆ ในช่วงเทศกาล
.....ก็ขอให้ทุกท่านประพฤกติปฏิบัติตามสมควรแล้วกัน..ไม่ต้องเครียดครับ....แล้วผมจะเอาภาพต่างๆของเทศกาลกินผัก มาฝาก อีกนะครับ

...ดูข่าว.เกี่ยวกับการกินผัก..กันหน่อยนะครับ http://phuketindex.com/phuket-local-news/2008-09/phuket-thai-news-15-01.htm

ชาวเล ชาวเรา ชนพื้นเมืองที่เกือบถูกลืม


...เรื่องของชาวเล...ที่ภูเก็ต
ชาวเลในประเทศไทยเป็นชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งในหลายกลุ่มของประเทศไทย อาศัยอยู่แถบชายฝั่งทะเลอันดามัน ตั้งแต่บริเวณจังหวัดระนองตลอดไปจนถึงหมู่เกาะอาดัง-หลีเป๊ะ ลันตาและเกาะภูเก็ต กลุ่มชาวเลเหล่านี้มีอาชีพทำประมงชายฝั่ง มีภาษาพูดและวัฒนธรรมเป็นของตนเอง ชาวเลที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย มีสองกลุ่มด้วยกันคือ ชาวมอเก็นหรือมอแกนและชนชาวอูรักละโว้ยหรือโอรังลาโอ๊ด

กลุ่มที่ 1 ชาวมอเก็นหรือมอแกนกลุ่มที่อาศัยที่หมู่เกาะสุรินทร์
เป็นชนเผ่าเร่ร่อนที่ไม่ตั้งหลักแหล่งถาวร อาศัยอยู่บนเรือเป็นส่วนใหญ่ มีการที่โยกย้ายถิ่นฐานไปมาระหว่างชายฝั่งอันดามันของไทยและชายฝั่งทะเลอีกด้านของพม่า ปัจจุบันยังเป็นกลุ่มบุคคลที่ยังไม่ได้รับสัญชาติไทยอยู่ภายใต้การดูแล(เพื่อเหตุผลด้านมนุษยธรรมหรือผลประโยชน์ด้านอื่นก็ไม่อาจทราบได้)ของเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์

กลุ่มที่ 2 กลุ่มมอเก็นที่อาศัยอยู่บริเวณหมู่บ้านทับตะวันและบริเวณชายฝั่งทะเลอันดามันจังหวัดพังงา พูดภาษาไทยท้องถิ่นใต้ และได้สัญชาติไทยแล้ว

กลุ่มที่ 3 กลุ่มอูรักละโว้ยหรือโอรังลาโอ๊ด
เป็นชนเผ่าชาวเลที่ตั้งหลักแหล่งถาวรในประเทศไทยหลายปีแล้ว ได้ถูกกลมกลืนด้วยวัฒนธรรมสมัยใหม่และได้ปรับวิถีชีวิตดังเดิมเข้ากลมกลืนกับชาวไทยท้องถิ่นใต้(และบางส่วนได้ถูกผสมด้านเชื้อชาติกับชาวไทยในท้องถิ่น )ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ที่ภูเก็ต,ลันตาและหมู่เกาะอาดังหลีเป๊ะ เรียกขานโดยชาวท้องถิ่นไทยว่า " ชาวเล" หรือชาวอูรักละโว้ย แม้ว่าวิถีชีวิตของชาวเลจะกลมกลืนกับชาวบ้านมากแล้ว แต่ชาวเล ก็ยังรักษาภาษาและวัฒนธรรมของตนเองอย่างเหนียวแน่น

" ชาวเผ่าอูรักละโว้ยกับมอเก็นไม่เหมือนกันนะ พวกมอเก็นเป็นพวกอยู่ในเรือ อยู่ไม่เป็นที่ ส่วนพวกเราอูรักละโว้ยเป็นชาวเลที่อยู่ในหมู่บ้านมานานเป็นร้อยปีแล้ว ภาษาพูดก็ไม่เหมือนกันแต่ก็พอสื่อกันรู้เรื่อง" ลุงมณี ผู้อาวุโสชาวอุรักละโว้ยที่แหลมตุ๊กแกภูเก็ตชี้ ข้อแตกต่างให้เห็นด้วยภาษาไทยถิ่นใต้ชัดถ้อยชัดคำ

ผู้ชายชาวเลจะออกไปหาปลาในทะเล ในอดีตลุงมณีเล่าว่า ชาวเลเคยรอนแรมไปหาปลาไกลถึงฝั่งประเทศพม่า เมื่อหาปลาได้ที่ไหนก็จะตากปลาไว้ที่เกาะนั้น ส่วนน้ำก็หาได้ตามเกาะที่แวะผ่าน ตอนขากลับก็จะนำปลาแห้งกลับมาขายที่ภูเก็ต

ผู้หญิงชาวเล จะมีงานประจำวันคือการแกะหอยติบ(หอยชนิดหนึ่ง ลักษณะคล้ายหอยนางรมแต่ขนาดเล็กกว่ามาก) ผมเคยถามลุงมณีว่า ทำไมผู้หญิงชาวเลจึงอ้วนทุกคน..คำตอบคือ ชาวเลกินแต่ของดีและไม่ทำอะไรนอกจากนั่งแกะหอยก็เลยอ้วนดังที่เห็น นี้คืออาชีพและวิถีความเป็นอยู่ของชาวเล

ชาวอุรักละโว้ยรักที่จะให้คนนอกเรียก ตนว่า" ไทยใหม่ " ..เกือบลืมบอกไปว่าชาวอุรักละโว้ยได้รับพระราชทานนามสกุล"ประโมงกิจ"จากสมเด็จย่าแล้วนะ ...นามสกุลของชาวอุรักละโว้ยจะเกี่ยวข้องกับน้ำทั้งสิ้น เช่น ประโมงกิจ..ช้างน้ำ และหาญทะเล เป็นต้น

ความเชื่อและศาสนา...แต่เดิมชาวอูรักละโว้ยนับถือวิญญาณ ผีปู่ย่าตายาย ต่อมาก็หันมานับถือศาสนาพุทธ(มีวัดของตนเองด้วยนะ)แต่ภายหลังจากการเกิดเหตุการสึนามิเมื่อปี 2547 ชาวอูรักละโว้ยได้รับความช่วยเหลือจากองค์การมนุษย์ธรรมจากประเทศตะวันตกดังนั้นชาวเลรุ่นใหม่จึงเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริตส์เป็นจำนวนมาก

ประเพณีบางอย่างที่เกือบจะถูกลืม...ชาวเลใน ภูเก็ตและพังงาจะมีประเพณีการมารับ"ทาน"(ไม่เหมือนขอทานทั่วไปแต่เป็นประเพณีที่ต้องมาขอทาน)จากชาวไทยท้องถิ่นใต้บ้านในช่วงวันสาร์ทไทยหรือวันทำบุญเดือนสิบ ระหว่างการมารอรับทาน ชาวเลบางคนก็จะนำไม้ซางและลูกดอกมาขาย
ความเชื่อเรื่องการยกลูกให้เป็นลูกชาวเล

ระหว่างที่ชาวเลรับ"ทาน" ผู้มาขอทานจะร้อง "เพลงบอก" เพื่อเรียกให้เจ้าของบ้านออกจากบ้านมาให้ทาน เพลงบอกดังกล่าวมักจะ เป็นเพลงพื้นบ้านของชาวใต้ฝั่งอันดามัน(ที่ถูกลืมจนหมดแล้ว )ระหว่างที่ชาวเลมารับการให้ทานนั้น ครอบครัวไหนที่มีลูกที่เลี้ยงยาก ก็จะขอให้ชาวเลช่วยผูกข้อมือ แล้วยกลูกตนให้เป็นลูกชาวเล เรียกว่ายกลูกให้เป็นลูกของชาวเลตามเคร็ด ว่างั้นเถอะ....เชื่อกันว่า เด็กที่เป็นลูกชาวเลทั้งหลาย จะเป็นเด็กเลี้ยงง่าย ข้าพเจ้าตอนเด็กๆเป็นเด็กเลี้ยงยาก จึงถูกพ่อแม่ยกให้เป็นลูกชาวเลจนเป็นลูกที่เลี้ยงง่ายของพ่อแม่และกลายเป็นสามีที่เลี้ยงง่ายของภรรยาในเวลาต่อมา....ความหมายลึกๆของคำว่า"ชาวเล " ....เนื่องจากสมัยก่อน(ตอนข้าพเจ้ายังเด็ก) ชาวใต้แถบอันดามันจะไม่นิยมตั้งบ้านเรือนอยู่แถบอยู่ชายทะเล
ดังนั้นคำว่า"ชาวเล"ในความหมายของคนท้องถิ่นอันดามัน นอกจากจะหมายถึงชาวเผ่าอูรักละโว้ย,มอเก็นหรือมอแกนแล้ว ยังใช้เรียกชาวไทยท้องถิ่นที่มีความเป็นอยู่ง่ายๆและไม่ค่อยรักษาความสะอาดอีกด้วย(ขออภัยจริงๆ ครับไม่ได้ตั้งใจกล่าวดูหมิ่นดูถูกแต่นี่คือเกร็ดของเรื่องจริงที่อยากเล่าให้ฟัง)

ลองฟังเสียงอูรักลาโว้ย..เขียนโดย @i ที่ 6:27 ก่อนเที่ยง 0 ความคิดเห็น

กระแสน้ำเชี่ยว ที่ช่องปากพระ

ช่องปากพระ.... กันอีกครั้ง




ช่องทางออกสู่ทะเลอันดามัน

เกาะภูเก็ตมีฝั่งทะเลสองฝั่งคือฝั่งตะวันตกด้านทะเลอันดามันและชายฝั่งตะวันออก(หรือทะเลใน)ด้านติดกับชายฝั่งแผ่นดินใหญ่พังงา ระดับน้ำทะเลทั้งสองฝั่งจะไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงมีการไหลเวียนของน้ำอยู่ตลอดเวลา ..ในช่วงน้ำขึ้น กระแสน้ำจากทะเลอันดามันจะไหลเข้าทางด้านชายฝั่งด้านฝั่งตะวันออก พอเวลาน้ำลง กระแสน้ำก็จะไหลย้อนกลับสู่ทะเลอันดามันอีกครั้งผ่านทางช่องแคบ " ช่องปากพระ " ซึ่งนอกจากจะที่เป็นทางออกสู่ทะเลอันดามันแล้ว ยังจัดเป็นส่วนแคบสุด..ที่แคบจนนักว่ายน้ำที่แข็งแรงสามารถว่ายข้ามได้อย่างสะบาย( 490 เมตร...กะประมาณโดยสายตา)

การข้ามช่องแคบแห่งนี้ ในอดีต ต้องอาศัยแพยนต์ของกรมเจ้าท่าทำการขนถ่ายรถยนต์และผู้โดยสาร ข้ามฟากไปมาระหว่างฝั่งท่านุ่นของฝั่งพังงาและท่าฉัตรชัยฝั่งภูเก็ต คุณสามรถจะมองเห็นรถยนต์จอดเรียงรายเพื่อรอแพยนต์ข้ามฟากได้อย่างชัดเจน ในระหว่างรอแพยนต์ จะมีพ่อค้าแม่ค้า นำอาหารใส่ถาดทูนศีรษะมาเร่ขายให้กับผู้โดยสารที่รอ การข้ามฟาก จะได้ยินเสียงเสนอขายสินค้าขรมไปหมด..
"ไข่ต้มครับไข่ต้ม(ไข่เป็ดนะครับไม่ใช่ไข่ไก่)...ลูกชิ้นครับลูกชิ้น(ทอดมัน) ยานัดครับยานัด(สัปปะรดภูเก็ต..ลูกเล็ก รสหวานกรอบ) ส้มแป้นครับส้มแป้น(ส้มเขียวหวาน).

..นอกจากนี้ ตรงริมถนน ทั้งสองฝั่งทะเล จะมีร้านค้าเรียงรายอยู่ทางด้านขวาของถนน อาหารที่ขายส่วนใหญ่ก็เป็นขนมจีน ข้าวราดแกงและ อาหารว่างระหว่างรอข้ามฟาก บรรยากาศเหล่านี้เริ่มซบเซาลงเมื่อมีโครงการสร้างสะพานเชื่อมสองฝั่งทะเล ในการสร้างสะพานครั้งแรกบริษัทญี่ปุ่นได้มาประมูลโครงการ โดยการนำหินแกรนิตจากบ้านคอเอนมาถมเป็นเขื่อนกั้นทะเลโดยมีแนวคิดที่จะใช้สันเขื่อนเป็นถนนให้รถยนต์เล่นข้าม แต่โครงการสร้างเขื่อนแห่งนี้ประสพความล้มเหลวเพราะแนวหินแกรนิตที่ถมไว้ ถูกกระแสน้ำไหลเชี่ยวพัดพาจนเสียหาย ในที่สุดก็ต้องยกเลิกโครงการ ทำให้การสร้างเขื่อนหรือสะพานข้ามทะเลครั้งแรกล้มเหลว
ต่อมาไม่นาน ก็มีการรื้อฟื้นโครงการสร้างสะพานอีกครั้ง มีการออกแบบการก่อสร้งสะพานแบบใหม่ เป็นสะพานชนิดใช้ตอหม้อ ขนาดสองช่องจราจร การก่อสร้างสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี(ราคาแสนแพง 28 ล้านบาทในยุคนั้น) เมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จ ก็ได้รับการตั้งชื่อ.. . สารสิน.... เพื่อเป็นเกียรติแก่นายพจน์ สารสิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติในยุคนั้น จัดได้ว่า สะพารสารสินเป็นสะพานข้ามทะเลแห่งแรกของประเทศไทย ได้เปิดใช้ครั้งแรกเมื่อ 7 กรกฎาคม ปี2510 และเป็นการปิดฉากการบริการอันยาวนานของแพยนต์มาตั้งแต่บัดนั้น

ทราบไหม.ว่า...สะพานสารสินมีความยาวเท่าไร?...ถ้าไม่ทราบ..อ่านต่อไปครับ...
จากการมีบันทึกของนักเดินทางชาวตะวันตกท่านหนึ่ง ได้เขียนไว้ว่า ระยะห่างระหว่างฝั่งภูเก็ตและพังงาเท่ากับระยะ.....วิถี กระสุนปืนสั้น..

เรื่องจริงครับ มีการกล่าวไว้ เช่นนั้นจริงๆ ผมจะขอนำบันทึกทางประวัติศาสตร์มาช่วยสนับสนุนคำกล่าวของผมสักเล็กน้อย...

อ้างถึง..บันทึกของ มองซิเออร์ เอเรต์ ผู้แทนบริษัทอินเดียตะวันออก ของฝรั่งเศสที่พูดถึงภูเก็ต ที่ปรากฏในประชุมพงศาวดาร เล่ม 26 ใน “เรื่อง เกาะภูเก็ตเกี่ยวกับประเทศสยามอย่างไร” เขียนที่เมืองภูเก็ต เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2229 (ค.ศ. 1686) ข้อความตอนหนึ่งกล่าวว่า

ข้าพเจ้าจึงขอบอกให้ท่านทราบว่า เมืองภูเก็ต ซึ่งข้าพเจ้าอยู่ในบัดนี้นั้นเป็นเกาะเล็ก ๆ วัดโดยรอบยาวประมาณ 35 ไมล์ ตั้งอยู่ริมทะเลตะวันตก แหลมมะละกาห่างจากฝั่งประมาณ ระยะทางปืนสั้น และอยู่ระหว่าง 6และ 8 ดีกรีของลุติจูดเหนือ บนเกาะภูเก็ตเต็มไปด้วยป่าทึบมีสัตวืป่ามากมาย ตั้งแต่เสือ ช้างแรดและสัตว์ร้ายอื่นๆอีกมากมาย "

นอกจากนี้ มองฺซิเออร์ เอเรต์ยังพูดถึงชาวภูเก็ตยุคนั้นว่า
"ในขณะนั้นมีผู้คนน้อยที่สุด ทั้งหมดคงจะมีพลเมืองราว 6,000 คนพลเมืองในเกาะนี้ เป็นคนป่าคนดง หรือจะใช้คำให้ดีหน่อย ก็เป็นคนที่ไม่รู้จักกิริยาสุภาพ ซึ่งในประเทศสยามทั้งพระราชอาณาเขต ไม่มีที่ใดที่จะมีคน...เลวทราม...เช่นนี้เลย "

เจ็บปวดกับความเห็นของมองซิเออร์ ปากจัดคนนี้ นอกจากนี้ในการที่พม่าเข้าตีเกาะภูเก็ตในยุคต้นรัตนโกสินทร์ ก็ได้ยกข้ามทะเลทางช่องแคบแห่งนี้เช่นกัน ก็เพราะ..ความกว้างของทะเล.กว้างแค่วิถีกระสุนปืนสั้น...นี้แหละ ที่แคบจนไม่สามารถกั้นแสนยานุภาพทางเรือของทหารพม่าในยุคนั้นได้ ยังสงสัยว่าทหารพม่านั่งเรือหรือว่ายน้ำข้ามทะเลมายังเกาะภูเก็ต..แต่เหตุการเหล่านั้นก็ทำให้เกิดวีระสตรีขึ้นที่เกาะนี้ถึงสองท่านด้วยกันคือ ท้าวเทพกระษัตรีย์และท้าวศรีสุนทร

ขอตอบก่อนจบครับ ช่องแคบตรงจุดสร้างสะพานสารสิน กว้างประมาณ 660 เมตรกับอีก 15 เซนติเมตรครับ(เพิ่มขึ้นอีก15ซ.ม.ตอนเกิดซึนนามิ..นักวิชาการเขาบอกนะ ..ไม่ใช่ผม.)

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2551

ช่องปากพระ..เล่าด้วยภาพ

ปากบาง หรือทางออกทะเลฝั่งท่านุ่น พังงา


ฝั่งพังงา ดุจากฝั่งภูเก็ต


สพานสารสินเก่า ไม่มีให้ดูอีกแล้ว



ช่องปากพระ มองจากสะพานท้าวเทพกะษัตรีย์